วันพฤหัสบดีที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561



                               ชิวาว่าหมาน่ารัก (Chihuahua)



                เมื่อสมัยราวๆ ต้นศตวรรษที่ 19 เคยมีอาณาจักรชื่อ Toltecs(ในปัจจุบันเป็นประเทศเม็กซิโก) อาณาจักรนี้ รุ่งเรืองอยู่นานนับ 100 ปี มีอารยธรรมและความเจริญต่าง ๆมากมาย หนึ่งในนั้นคือการสร้างสุนัขพันธุ์ Techichi โดยสุนัขจะมีขนาดเล็ก แต่กระดูกใหญ่ ขนยาว ลักษณะเด่นพิเศษคือเป็นสุนัขที่เงียบ ถือกันว่า Techichi เป็นสุนัขพื้นเมืองในแถบอเมริกากลาง และที่สำคัญคือ เป็นต้นกำเนิด ชิวาว่า ในปัจจุบัน



               หลักฐานชิ้นสำคัญที่ยืนยันว่า Techichi เป็นสุนัขตั้งแต่สมัย Toltecs คือรูปแกะสลักสุนัขบนหินเป็นรูปของสุนัขที่มีลักษณะใกล้เคียงกับชิวาวาในปัจจุบัน รูปแกะสลักนี้ปัจจุบันอยู่ที่ Monastery of Auejotzingo ตั้งอยู่ที่ประเทศเม็กซิโก
หลังจากอาณาจักร Toltecs ล่มสลายหายไป ก็ถึงคราวเจริญรุ่งเรืองของอาณาจักร Aztec ซึ่งเกิดขึ้นในบริเวณเดียวกับ Toltecs จึงทำให้มีผู้ค้นพบเศษซากโบราณวัตถุอยู่เสมอ และมักจะเจอหลักฐานเก่าแก่เกี่ยวกับต้นตระกูลสายพันธุ์ของชิวาวาอยู่เสมอ ซึ่งเจอครั้งแรกในปี ค.ศ.1850 ที่โบราณสถานใกล้กับ Casas Grandes โดยเชื่อกันว่าที่แห่งนี้เคยเป็นวังของพระจักรพรรดิ Motezuma  ที่ 1 แห่ง "Aztec"
จึงทำให้มีเรื่องราวว่ากันว่า อาณาจักร Aztec ร่ำรวยมาก พระจักรพรรดิ Montezuma ทรงเลี้ยงชิวาวาไว้ในวัง จึงทำให้พวกชนชั้นสูงนิยมเลี้ยงกันมาก ในสมัยนั้นแม้แต่ชิวาว่าของเศรษฐียังเป็นที่ยกย่อง ส่วนตัวไหนที่มีสีน้ำเงินจะถือเป็นสุนัขศักดิ์สิทธิ์
นอกจากนี้นักโบราณมักจะพบเจอซากชิวาวาถูกฝังอยู่ในหลุมศพเดียวกับคนอยู่ทั่วไปในเม็กซิโก อยู่เป็นประจำ จึงทำให้เชื่อกันว่า ประเทศเม็กซิโก น่าจะเป็นประเทศต้นกำเนิด"สุนัขพันธุ์ ชิวาว่า"



             ปัจจุบันชิวาว่าเป็นสุนัขที่ได้รับความนิยมมากในประเทศอเมริกา ชาวอเมริกันพัฒนาสายพันธุ์ชิวาว่าโดยย่อให้มีขนาดเล็กลง แต่ยังคงรูปร่าง สัดส่วน รวมทั้งลักษณะนิสัยเดิมไว้ครบถ้วน คือ "ฉลาดเฉลียว กระตือรือร้น รักพวกพ้อง สนใจแต่พวกเดียวกัน" โดยทั่วไปชาวอเมริกันนิยมเลี้ยงชิวาวาขนสั้นมากกว่าชิวาวาขนยาว แต่ในประเทศไทยมักจะชอบคนยาวมากกว่า...


      หากท่านใดสนใจ สุนัขพันธุ์ ชิวาว่า เดี๋ยวอีกหน่อย จะมาอัพเดทฟาร์ม ชิวาว่าในประเทศไทยที่น่าเชื่อถือให้อ่านกัน ว่ามีฟาร์มไหนบ้างที่มีคุณภาพ เพื่อะได้เป็นตัวเลือกสำหรับคนที่ต้องการนำไปดูแล ☺☺

วันพฤหัสบดีที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561


                       เต่ายักษ์ "แห่งเกาะกาลาปาโกส"





                   เต่ายักษ์กาลาปาโกส หรือ เต่ากาลาปาโกส (อังกฤษ: Galápagos tortoise, Galápagos giant tortoise; ชื่อวิทยาศาสตร์: Chelonoidis nigra) สัตว์เลื้อยคลานขนาดใหญ่ชนิดหนึ่ง จำพวกเต่า จัดเป็นเต่าบกชนิดหนึ่ง

นับเป็นเต่าบกที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก มีลักษณะเด่น คือ กระดองหนา มีสีเทาเข้มจนถึงสีดำ มีคอที่ยาวมากเพื่อใช้ในการหาอาหาร หัวมีขนาดเล็ก ตัวผู้มีกระดองยาว 122 เซนติเมตร น้ำหนักได้ถึง 250 กิโลกรัม ตัวเมียจะตัวเล็กกว่า กระดองยาว 91 เซนติเมตร น้ำหนักโดยเฉลี่ยประมาณ 159 กิโลกรัม วางไข่ประมาณ 9-25 ฟอง ไข่จะฟักในอุณหภูมิประมาณ 35-40 องศาเซลเซียส แต่จะเหลือลูกเต่าไม่ถึงครึ่งที่มีชีวิตรอดจากการวางไข่แต่ละครั้ง ชอบอาศัยในที่พุ่มไม้เตี้ย ในบึง และเนินทรายชายฝั่ง และมีอายุยืนได้นานมากกว่า 100 ปี หรือเกือบ ๆ 200 ปี




        เต่ายักษ์กาลาปาโกส เป็นเต่าที่กินพืชเป็นอาหาร โดยสามารถกินพืชที่ขึ้นที่แห้งแล้งชนิดต่าง ๆ ได้อย่างหลากหลาย รวมถึงพืชที่มีหนามแหลมอย่างกระบองเพชรด้วย และจากการศึกษาจากนักวิทยาศาสตร์พบว่าเมื่อถึงฤดูแล้งที่สภาพอาหารเหือดแห้ง เต่ายักษ์กาลาปาโกสสามารถปรับตัวให้หัวใจเต้นเพียงครั้งละ 1 ครั้งต่อ 1 นาทีได้ด้วย เพื่อประหยัดพลังงานในการเผาผลาญอาหาร และในช่วงฤดูผสมพันธุ์ จากการติดเครื่องติดตามดาวเทียมพบว่า เต่ายักษ์กาลาปาโกสมีพื้นที่อพยพ 6 ไมล์ จากยอดภูเขาไฟอัลเซโด มาจนถึงระดับน้ำทะเล เพื่อผสมพันธุ์ ซึ่งบางตัวอาจใช้เวลาเดินทางนานถึง 2 เดือน

         จัดเป็นสิ่งมีชีวิตเฉพาะถิ่นที่พบเฉพาะบนหมู่เกาะกาลาปาโกส กลางมหาสมุทรแปซิฟิกตอนใต้ ในเขตของประเทศเอกวาดอร์เท่านั้น และก็ได้มีชนิดย่อยแตกต่างกันออกไปตามลักษณะของกระดอง และขนาดลำตัว ซึ่งจะอาศัยกระจายกันไปตามเกาะต่าง ๆ ในหมู่เกาะกาลาปาโกส และเกาะอื่น ๆ ที่ใกล้เคียงกัน ทั้งนี้เป็นไปตามทฤษฎีวิวัฒนาการที่กระดองของเต่าจะปรับเปลี่ยนไปตามลักษณะการกินอาหารตามแต่ละภูมิประเทศที่อาศัย เช่น บ้างก็เว้าตรงคอ, บ้างก็โค้งกลมเหมือนโดม หรือบ้างก็เหมือนอานม้า โดยสามารถแบ่งออกได้ถึง 14 ชนิดย่อย  และบางชนิดก็สูญพันธุ์ไปแล้วเช่นกัน




         โดยเต่ายักษ์กาลาปาโกส มีชื่อเสียงอย่างยิ่ง เมื่อ ชาร์ลส์ ดาร์วิน นักชีววิทยาชาวอังกฤษ ได้เดินทางมายังที่นี่เมื่อปี ค.ศ. 1835 ดาร์วินได้พบกับเต่ายักษ์กาลาปาโกสครั้งแรก เมื่อเต่ายักษ์กาลาปาโกสเดินออกมาจากพุ่มไม้หนาม และกัดกินใบของพืชตระกูลแอปเปิลที่มีพิษเป็นอาหาร และดาร์วินสังเกตว่า กระดองเต่าที่อาศัยอยู่บนเกาะต่าง ๆ กันนั้นมีรูปร่างต่างกัน ซึ่งข้อสังเกตการณ์นั้นกลายเป็นหนึ่งในแรงบันดาลใจของทฤษฎีการคัดเลือกโดยธรรมชาติที่ดาร์วินเสนอขึ้นมา จนโด่งดังมีชื่อเสียงขึ้นมา

     กระดองเต่ายักษ์กาลาปาโกสที่จัดแสดง ณ สวนสัตว์พาต้า
โดยเต่ายักษ์กาลาปาโกสตัวที่มีชื่อเสียง ได้แก่ "จอร์จผู้เดียวดาย" ที่มีอายุมากกว่า 100 ปี เป็นตัวผู้ได้ตายลงเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน ค.ศ. 2012 จอร์จเป็นเต่าชนิดย่อย C. n. abingdonii ที่เป็นชนิดที่พบบนเกาะพินต้า ซึ่งเป็นเกาะที่เล็กที่สุดของหมู่เกาะกาลาปาโกส[8] และเชื่อกันว่าจอร์จนี้เป็นตัวสุดท้ายของโลกของเต่าชนิดย่อยนี้ เป็นเต่าในสถานที่เลี้ยงในกรุงกีโต เมืองหลวงของเอกกาดอร์ มีความพยายามจากนักวิทยาศาสตร์หลายต่อหลายครั้งที่จะพยายามเพาะขยายพันธุ์ ด้วยการให้จอร์จผสมพันธุ์กับเต่าตัวเมีย แต่ก็ไม่สำเร็จเมื่อเต่าตัวเมียวางไข่ 2 ครั้ง แต่ก็เป็นหมันทั้งหมด เพราะจอร์จอายุมากแล้ว จึงได้รับชื่อว่า "จอร์จผู้เดียวดาย"





            ปัจจุบัน มีเต่ายักษ์กาลาปาโกสอาศัยอยู่ในธรรมชาติประมาณ 20,000 ตัว ซึ่งเป็นผลมาจากการอนุรักษ์และขยายพันธุ์ จากที่เคยเหลืออยู่แค่ 3,000 ตัว เมื่อปี ค.ศ. 1974 จากการถูกรุกรานและฆ่าโดยมนุษย์ โดยศูนย์เพาะขยายพันธุ์ใหญ่ที่สุด คือ สถานีวิจัยชาร์ลส์ ดาร์วิน บนเกาะซานตาครูซ ของหมู่เกาะกาลาปาโกส ซึ่งมีด้วยกันหลายจุด ครอบคลุมเต่ายักษ์กาลาปาโกสทุกเพศ ทุกวัย ตั้งแต่เกิดจนตาย เต่าวัยอ่อนอายุไม่เกิน 2 ปี จะถูกดูแลเป็นอย่างดีให้พ้นจากศัตรูตามธรรมชาติที่มีอยู่มากมาย โดยบนกระดองจะมีการแต้มสีต่าง ๆ เป็นจุด เพื่อเรียกแทนค่าหมายเลขประจำตัว ตามชนิดย่อยที่แตกต่างกันตามไปตามเกาะที่เป็นแหล่งต้นกำเนิด ซึ่งเต่ายักษ์กาลาปาโกสจะอาศัยอยู่ที่นี่จนอายุได้ 4-6 ปี และผ่านการวัดขนาดความกระดองให้ได้ประมาณ 20-25 เซนติเมตร จึงถือว่าเติบโตได้ตามปกติ และนำไปปล่อยสู่แหล่งเลี้ยงที่มีการจัดสภาวะแวดล้อมให้ใกล้เคียงกับธรรมชาติมากที่สุด